แมนซิตี้ บุกกำราบ แมนยู 5 ประเด็นน่าสนใจหลังเกมส์
แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ฉบับ คาราบาว คัพ แมตช์แรก ผ่านพ้นไปแล้ว โดยเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่บุกมากำราบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 เมื่อวันอังคารที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาถือความได้เปรียบบานเบอะ ก่อนจะมีคิวดวลกันนัด 2 วันที่ 29 ม.ค.ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม
ครึ่งแรกต้องบอกว่าเป็นเกมโชว์ของ “เรือใบสีฟ้า” อย่างชัดเจน เมื่อพวกเขาควบคุมทุกอย่างอยู่หมัด และจัดการปั่นป่วนเกมรับของ “ผีแดง” จนเสียกระบวนยุทธ ก่อนจะมาซัดประตูนำ 3 ลูก
ที่สำคัญพวกเขามีโอกาสบวกเพิ่มอีกหลายครั้ง แต่ยิงทิ้งยิงขว้าง ในขณะที่ลูกทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง “เร้ด เดวิลส์” มีลูกฮึด ขณะที่ลูกทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ดูเหมือนจะไม่ค่อยเน้นมากนัก ทำให้เจ้าบ้านมีโอกาสต่อเกมมากขึ้น พยายามเปิดเกมบุกเพื่อหวังจะยิงประตูตีไข่แตกให้ได้ และจากการเล่นผิดพลาดในแดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ นำไปสู่การยิงประตูของ มาร์คัส แรชฟอร์ด
ตั้งแต่นาทีแรกที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ทราบรายชื่อ 11 ตัวจริงในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้แมตช์ ฉบับคาราบาว คัพ พวกเขาต่างรู้ชะตากรรมแล้วว่าทีมจะต้องเจอกับอะไร แต่ก็ยังภาวนาว่า ฟิล โจนส์ จะทำผลงานไม่เลวร้าย หรือหากเซอร์ไพรส์ก็เล่นดีระเบิดเถิดเทิง
โดยเฉพาะในจังหวะที่ทีมเสียประตูที่ เควิน เดอ บรอยน์ โชว์ความเป็นสุดยอดนักเตะด้วยการล็อกบอลหลอก โจนส์ จนหัวทิ่ม ก่อนจะตะบันเต็มข้อไปติด ดาบิด เค เคอา แต่บอลเจ้ากรรมกระดอนมาชน อันเดรียส เปเรยร่า ทำเข้าประตูตัวเอง ทำให้ “ปีศาจแดง” ตามหลังเพื่อนบ้านน่ารำคาญ 0-3
สำหรับครึ่งหลัง โจนส์ อาจจะไม่ได้เกมบุกของ แมนฯ ซิตี้ โหมเข้าใส่เหมือนกับในครึ่งแรก ทำให้ โจนส์ ไม่ได้เล่นผิดพลาดมากนัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “เรือใบสีฟ้า” ค่อนเข้าที่จะเล่นแบบเน้นผลการแข่งขัน ก็เลยไม่ได้ใส่เต็มสูบ
งานนี้สาวก “เร้ด อาร์มี่” คงต้องรีบอธิษฐานให้ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กลับมายืนประจำตำแหน่งคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ เป็นการด่วน เพราะถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ใช่คู่เซนเตอร์ระดับเทพ แต่ก็เห็นพวกเขาเล่นร่วมกันคงดีกว่าเห็น โจนส์ ยืนเป็นแผงแบ็กโฟร์ เพราะเห็นแล้วเสียวหัวใจที่สุด
2. เดอ บรอยน์ โคตรเทพ
ฟอร์มการเล่นของ เควิน เดอ บรอยน์ ในเกมนี้ต้องบอกเลยว่าระดับโลก เพราะสตาร์ชาวเบลเยียม เล่นได้อย่างเหนือชั้น โดยสามารถควบคุมเกมแดนกลางได้อยู่หมัด ขณะที่การเติมเกมรุกต้องบอกว่าเป็นทีเด็ดของนักเตะอย่างแท้จริง และเจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในการเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด
ครึ่งแรก เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม ปล่อยทีเด็ดแบบไม่มีกั๊กเล่นงานเกมรับ “ปีศาจแดง” จนปั่นป่วนไปหมด พร้อมทั้งผ่านบอลที่สุดเฉียบคมจนสร้างโอกาสให้ทีมได้หลายต่อหลายครั้ง งานนี้ผลงานของ เฟร็ด, อันเดรียส เปเรยร่า รวมทั้ง เจสซี่ ลินการ์ด มัดรวมกันยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งฟอร์มของ เดอ บรอยน์ ด้วยซ้ำ

ส่วนทีเด็ดของ เดอ บรอยน์
คงหนีไม่พ้นจังหวะที่มีส่วนให้ทีมได้ประตูที่สาม เมื่อเขาแสดงให้เห็นถึงทักษะระดับเวิลด์คลาส ด้วยการหลอก โจนส์ กองหลังระดับเวิลด์แก๊ส จนหลังหักหน้าคะมำ ก่อนจะซัดไปติด เด เคอา และบอลกระดอน เปเรยร่า เข้าไปซุกก้นตาข่ายหน้าตาเฉย
ขณะที่ครึ่งหลังดูเหมือน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อ่านสถานการณ์ได้เด็ดขาดหลังเห็น ดาวเตะชาวเบลเยียม
โดนเตะโดนอัดจนล้มกลิ้งล้มหงายหลายครั้งหลายหน
ฉะนั้นเพื่อเป็นการเซฟร่างกายของแข้งคนสำคัญ ก็เลยตัดสินใจถอดออกมาพัก ดีกว่าจะปล่อยให้โดนไล่เตะหนัก และอาจได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น
3. ซิลวา โชว์ของ
หากจะเลือกแมน ออฟ เดอะ แมตช์ เกมนี้คงหนีไม่พ้นชื่อของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา เพราะตั้งแต่ต้นจบกระทั่งเสียงนกหวีดยาวจาก ไมค์ ดีน เป่าหมดเวลา ดาวเตะชาวโปรตุกีส ทำผลงานได้อย่างสุดยอดไม่มีที่ติ จึงไม่แปลกเลยที่เขาสมควรได้รับคำเชิดชู ความสามารถเฉพาะตัวของ ซิลวา เป็นเรื่องยากลำบากมากๆ ที่แนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด จะรับมือได้ แถมในจังหวะการยิงประตูขึ้นนำ จอมทัพทีมชาติโปรตุเกส วิ่งหาพื้นที่ว่าง ก่อนจะแสดงให้เห็นถึงการยิงประตูที่เฉียบคมชนิดที่ เด เคอา ไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย

ทีเด็ดยังไม่หมดแค่นั้นโดยในจังหวะที่ได้ประตูที่สอง ซิลวา แสดงให้เห็นถึงสายตาที่เฉียบคมเมื่อได้บอลตรงกลางสนามก่อนจ่ายบอลคิลเลอร์พาสทะลุช่องหนี วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่พุ่งมาสกัดพลาด และบอลหลุดไปถึง ริยาด มาห์เรซ ที่หลบ โกลชาวสแปนนิช ก่อนส่งบอลซุกก้นตาข่ายแบบสบายๆ
ผลงานของ ซิลวา ตลอดทั้งเกมนอกจากจะยิง 1 ประตู และทำ 1 แอสซิสต์ แล้ว ยังสามารถสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมได้อีก 3 ครั้ง และผ่านบอลได้อย่างแม่นยำถึง 88 เปอร์เซนต์ ฉะนั้นด้วยผลงานแบบนี้จึงไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะได้รับตำแหน่งผู้เล่นที่ดีที่สุดในเกมนี้
4. เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ยิ่งเล่นยิ่งกล้า
ถ้าหากจะมองหาเรื่องดีๆ
ซักเรื่องหนึ่งสำหรับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คงต้องพูดถึงฟอร์มของ เบรนดอน วิลเลี่ยมส์ โดย
แบ็กซ้ายวัย 19 ปี ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและน่าจะเป็นแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดของทัพ
“ปีศาจแดง” ในเวลานี้
ในครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ พยายามที่จะโจมตีทางฝั่งของ วิลเลี่ยมส์ เพราะพวกเขามองนักเตะอาจจะประสบการณ์น้อย ที่สำคัญการขึ้นเกมทางฝั่งขวาซึ่งมี อารอน วาน-บิสซาก้า คงไม่น่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทัพ “เรือใบสีฟ้า” ซึ่งก็ได้ผลเพราะ วิลเลี่ยมส์ ต้องเจองานสุดหินในการรับมือกับแข้งเทคนิคสูงของ แมนฯ ซิตี้ เล่นงานอย่างหนัก

อย่างไรก็ตาม เจ้าหนูรายนี้ไม่เคยยอมแพ้ โดยเขาพยายามที่จะเล่นตามเกมของตัวเอง พร้อมกับมีความมั่นใจ และเล่นด้วยความดุดัน โดยนักเตะกล้าที่จะเข้าปะทะกับแข้ง แมนฯ ซิตี้ แบบไม่เกรงกลัว นอกจากนี้ยังพยายามวิ่งไล่กดดัน และเติมเกมบุกช่วยทีมเมื่อมีโอกาส
แถมในช่วงต้นครึ่งหลัง วิลเลี่ยมส์ มีโอกาสประสานงานการ เฟร็ด ในกรอบเขตโทษ แต่น่าเสียดายที่เขาดันยิงแป้กทำให้ เคลาดิโอ บราโว รับบอลเข้าซองได้แบบสบายๆ อย่างไรก็ตามผลงานของ นักเตะวัยละอ่อนคนนี้ ทำให้สาวก “ผีแดง” รู้สึกมีความหวังในอนาคต เพราะเขาเป็นเด็กที่มี “ของ” อย่างแท้จริง
5. แมนฯ ซิตี้ ก้าวสู่เส้นทางลุ้นแชมป์
การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คงน่าจะบอกว่าแทบจะมืดแปดด้าน เมื่อพวกเขามีแต้มตามหลัง ลิเวอร์พูล
จ่าฝูงถึง 14 คะแนน แถมทัพ “หงส์แดง” ยังแข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ ฉะนั้นการที่จะวาดฝันสร้างปาฏิหารย์พลิกนรกแซงยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ คว้าแชมป์ลีก ต้องบอกว่ายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
อย่างไรก็ตามชัยชนะที่ “โรงละครแหงความฝัน”
ในแมตช์นี้ ทำให้พวกเขาก้าวเท้า 1 ข้างเข้าสู่สนามเวมบลีย์ แล้ว ที่สำคัญ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการคว้าแชมป์
คาราบาว คัพ เพราะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับลูกทีม เพื่อลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วย

แน่นอนว่าทัพ “เรือใบสีฟ้า” อาจจะยังหวังเรื่องการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่บ้างแม้จะเลือนลาง แต่สิ่งที่พวกเขามุ่งมั่นและมีสมาธิที่สุดก็คือความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลถ้วย เพราะหากทีมสามารถสอยโทรฟี่คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้โชว์ในเอติฮัด สเตเดี้ยม ได้ ก็คงทำให้แฟนบอลยังยิ้มได้กับซีซั่นนี้
อ่านต่อ thennew
ขอขอบคุณ siamsport